บ้นทึกเก่า สะท้อนเงาชีวิต

1
สวัสดีครับพี่น้องที่คิดถึง….
ช่วงนี้สถานการณ์น้ำท่วมก็ยังมาแรง แรงจนกลายเป็นสึนามิน้ำจืด
ก็ได้แต่ส่งแรงใจกายช่วยพี่น้องของเรา รวมทั้งการรับบริจาค
สิ่งของต่างๆ เพื่อนำไปมอบให้ผู้ที่ประสบอุทกภัย

โลกเราทุกวันนี้เหมือนบีบคั้นสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์
ให้มีข้อจำกัดน้อยลงน้อยลง มนุษย์ล้นโลกเท่าไร
โลกก็ยิ่งบีบ กดดัน ทุกๆวิถีทางเพื่อให้มนุษย์ลำบากมากขึ้น
โลกคือผู้มีอำนาจล้นฟ้า มนุษย์คือผู้ที่อยู่อาศัยใต้โลก
เมื่อโลกไม่ชอบมนุษย์ โลกหมดรักมนุษย์แล้ว
มนุษย์ไม่มีประโยชน์สำหรับโลกแล้ว
ใยจะต้องเก็บเหล่ามนุษย์ไว้….
แต่มนุษย์ผู้ไม่มีทางเลือกหรือมีทางเลือกน้อยมาก
มนุษย์จึงหันหน้าสู้หลังพิงฝาประหนึ่งหมาจนตรอก
โลกและมนุษย์ต่างชิงไหวชิงพริบเพื่อความได้เปรียบ
รอแค่….ใครจะพลาด …โลกพลาดมนุษย์เหยีบซ้ำแน่
มนุษย์แพ้….โลกนี้ก็แค่ไม่มีมนุษย์

ผมเปรียบเทียบโลกและมนุษย์ โลกเปรียบเหมือนนายจ้าง
หรือผู้มีอำนาจในองค์กร มนุษย์ก็คือพนักงานตาดำๆ
ชีวิตทำงานในองค์กรเอกชนที่มีระบบการจัดการองค์กรที่ไม่สมบูรณ์
ย่อมมีปัญหามากมายที่เป้นอุปสรรคในการทำงาน
ที่ทำงาน ก็เหมือนสนามประลองเล็กๆ
มีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่น เอาหน้า เอาเปรียบ
เอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้(ลูกน้อง)คนอื่น
มีการเล่นพรรค เล่นพวก พวกกูดี พวกมึงเลว
สร้างเรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ใส่ร้ายป้ายสีสารพัด
มากมายกลวิธีที่จะกำจัดคนที่ไม่ใช่พวกตน
เพียงเพราะความเหิมเกริมหลงในอำนาจบาทใหญ่

ชีวิตลูกจ้างถ้าไม่มีกฏหมายคุ้มหัวไว้
ความห่างไกลจากคำว่ายุติธรรมนั้น อาจไม่มีวันเอื้อมถึง

ผมเป็นเสมือนผู้สังเกตุการณ์ของสหประชาโลก (ไม่ใช่สหประชาชาติ)
มีหน้าที่คิดวิเคราะห์ หลักแห่งความน่าจะเป็น
ว่าอะไรควร ไม่ควร OK ผมอาจพูดง่ายแต่ทำไม่ได้ เพราะยังไม่ได้ทำ

“มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาไปสู่ระดับการมีสัจการแห่งตน
มีอิสระทางความคิด และการกระทาทำที่ถูกต้อง”

ปัญหาทุกปัญหาที่เกี่ยวกับหมู่มวลมนุษย์
ซึ่งมาจากที่ ต่างพ่อแม่ ต่างเผ่าพงพันธ์
ไม่มีมนุษย์ก็ไม่มีปัญหา ไม่มีปัญหาใช่ว่าจะไม่มีมนุษย์
ฉะนั้นการอยู่รวมกันเป็นครอบครัวใหญ่นั้น
สิ่งสำคัญก็คือ การทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน
เปิดใจ เข้าใจ ด้วยความบริสุทธิ์ใจ ตรงไปตรงมา

มนุษย์ทุกคนสามารถพัฒนาพูดคุยทำความเข้าใจได้
แลกเปลี่ยนข้อดีข้อเสียซึ่งกันและกัน
แลกเปลี่ยนเปิดเผยจุดดีจุดด้อยของกันและกัน
แล้วประสานใจรวมกันขับเคลื่อนองค์กรให้ก้าวไปตามเป้าหมาย

หลักของพระพุทธศาสนานั้น
ไม่ว่าจะคิดพูดทำอะไรก็ตาม ให้ดูที่เจตนา (ความคิด)
เจตนานั้นเป็นจุดเริ่มต้น ก่อนที่่จะพูดออกไป ก่อนที่จะสื่อออกไป เป็นการกระทำ
ถ้าเจตนาไม่บริสุทธิ์ ก็ถือว่า การกระทำนั้น เป็นกรรม (บาปกรรม)
คนในครอบครัวเดียวกันมีเจตนาไม่บริสุทธิ์ต่อกัน
ผู้ที่ได้รับผลนั้นก็คือ ครอบครัว หรือบ้านของเราเอง
สุดท้ายครอบครัวก็เกิดความแตกแยก
ไม่สารมารถนำความเจริญก้าวหน้ามาสู่ครอบครัวได้

เพียงเพราะเจตนา (ของผู้นำ) ไม่บริสุทธิ์ต่อทุกคนในครอบครัว
ทุกคนในครอบครัวไม่ว่ายากดีมีจนหรือไม่มีการศึกษา
ก็นับว่าเป็นส่วนหนึ่งเสมือแขนขา หรืออวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งของชีวิต

ทันโต เสฏโฐ มนุสเสสุ
ในหมู่มนุษย์ คนที่ฝึกแล้วประเสริฐสุด

ทุกคนสามารถฝึกได้ เปลี่ยนได้ ถ้าเข้าถึงเข้าใจซึ่งกันและกัน
คนที่น่ากลัวที่สุดคือ คนที่สำคัญตนว่า ฉลาดสุด เลิศสุด รู้ดีที่สุด เก่งที่สุด
ใหญ่ที่สุด และชี้นิ้วตราหน้าคนนี้ผิด คนนั้น(ของกู)ถูก
ผมไม่แน่ใจว่าเป็นพระราชดำรัสของในหลวง หรือ ของพระราชินี พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า
“คนที่สำคัญตน อวดตนเองว่า เก่งที่สุด ฉลาดเลิศเลอที่สุด รู้ดีที่สุด
สุดท้ายมักจะเอาตัวเองไม่รอด”

ด้วยรักจากใจจริง
ทัต ณ ฝั่งโขง
kidbuak.com
24 ตุลาคม 2554, 03:00 น.

Facebook Comments Box